วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

หอยเชอรี่ หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือ หอยเป๋าฮื้อน้ำจืด

หอยเชอรี่ หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือ หอยเป๋าฮื้อน้ำจืด 
มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ สำหรับประเทศไทยมีผู้นำเข้ามาเลี้ยงไว้เป็นครั้งแรก เพื่อความสวยงามในตู้เลี้ยงปลา เนื่องจากเลี้ยงง่ายและขายพันธุ์ได้รวมเร็ว จึงมีผู้นำไปเลี้ยงเป็นฟาร์ม เพราะคาดว่าจะขายได้ราคาดี แต่ปรากฎว่าไม่มีผู้ซื้อ เพราะคนไม่นิยมบริโภคเป็นอาหาร จึงต้องเลิกเลี้ยง และปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้เกิดระบาดแพร่กระจายเข้าไปในนา ทำลายต้นขาวของเกษตรกร โดยเฉพาะในนาข้าวแถบชานเมืองของกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี พิษณุโลก และอุดรธานี เนื่องจากหอยชนิดนี้สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ไกล ๆ ด้วยการลอยไปตามน้ำไหล จึงระบาดแพร่ไปเกือบทั่วประเทศ ในขณะนี้มีการระบาดไม่น้อยกว่า 66 จังหวัดแล้ว

รูปร่างลักษณะและลักษณะการทำลาย

หอยเชอรี่เป็นหอยทากน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือเป๋าฮื้อน้ำจืด หอยชนิดนี้มีลักษณะคล้ายหอยโข่งบ้านเรา แต่เปลือกมีสีอ่อนกว่าคือ มีทั้งสีเขียวเข้มปนดำอย่างเดียว ในขณะที่บางตัวมีสีเหลืองปนน้ำตาล ส่วนเนื้อหอยมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองแก่ หรือสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้มเกือบดำ หอยตัวเต็มวัยอายุเพียง 3 เดือน มีความสูง 2.5 ซ.ม. สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ แม่หอยจะวางไข่ในที่แห้งเหนือระดับน้ำ ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 288 - 3,000 ฟอง แล้วแต่ขนาดตัวแม่ ถ้าตัวแม่มีขนาดใหญ่จำนวนไข่ก็มากขึ้นตามไปด้วย
แม่หอยสามารถวางไข่ได้ตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูฝนจะวางไข่ได้ถึง 10 - 14 ครั้งต่อเดือน ส่วนในฤดูร้อนจำนวนครั้งที่แม่หอยวางไข่จะน้อยลง ไข่หอยเชอรี่จะฟักเป็นตัวภายใน 7 - 12 วัน ลูกหอยตัวเล็ก ๆ จะกินสิ่งที่อ่อนนิ่ม เช่น สาหร่ายเป็นอาหาร และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีขนาด 1.6 ซม. ก็เริ่มกัดกินต้นข้าวได้ หอยเชอรี่ชอบกินต้นข้าวอ่อน ๆ ตั้งแต่ระยะข้าวปักดำใหม่จนถึงแตกกอเต็มที่ โดยจะกัดกินลำต้นข้าวใต้ผิวน้ำในนาข้าวเหนือพื้นดิน 0.5 - 1 นิ้ว เมื่อต้นข้าวถูกกัดขาดก็จะกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อไปจนหมดต้น นอกจากนี้หอยเชอรี่ยังกินได้ทั้งซากพืชและซากสัตว์ ตลอดจนพืชน้ำสดชนิดอื่น เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด บัว ผักตบชวา และกระจับ เป็นต้น โดยจะกินอย่างรวดเร็วและกินได้ตลอดเวลา คิดเป็นน้ำหนักอาหารที่กิน 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวต่อวัน

การจัดการหอยเชอรี่

การจัดการหอยเชอรี่ให้ประสบผลสำเร็จ จำเป็นต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ร่วมกันการใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียวจะทำให้การกำจัดไม่ได้ผล อีกทั้งยังต้องใช้สารเคมีในปริมาณมากขึ้น
ดังนั้นเกษตรกรควรคำนึงว่าการจัดการหอยเชอรี่ที่ดีที่สุดคือใช้วิธีผสมผสานโดยปฏิบัติดังนี้
  1. ใช้วัสดุกั้นทางที่ไขน้ำเข้านา หอยเชอรี่แพร่กระจายและระบาดเข้าสู่นาข้าว โดยทางน้ำเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สูบน้ำเข้านาไม่ว่าจะเป็นนาดำหรือนาหว่านให้ใช้เฝือกกันสวะและหอยที่มีขนาดใหญ่ก่อน แล้วจึงกั้นตามอีกชั้นด้วยตาข่ายไนล่อนตาถี่ ต้องเก็บหอยและสวะออกจากตาข่ายเพื่อไม่ให้กีดขวางทางน้ำเข้าอย่างสม่ำเสมอ
     
  2. ทำลายตัวหอยและไข่ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในเวลาเช้าหรือเย็น โดยใช้กระชอนที่มีด้านยาวช้อนตัวหอยและไข่ ซึ่งตัวหอยจะอยู่บริเวณที่ลุ่มหรือที่ร่มข้างคันนา ส่วนไข่มักจะติดอยู่ตามต้นข้าวและวัชพืช ทั้งนี้เพราะถ้าปล่อยทิ้งให้หอยอยู่ในนาข้าว หอยจะกัดกินต้นข้าวและวางไข่ แพร่ลูกหลานอีกจำนวนมาก
     
  3. การนำหอยเชอรี่มาทำประโยชน์ เช่น ทำอาหารบริโภคในครัวเรือน นำมาจำหน่ายหรือนำมาเป็นอาหารสัตว์ต่าง ๆ แต่ไม่ควรเก็บหอยเชอรี่จากบริเวณที่ใช้สารเคมีหรือแหล่งน้ำบริเวณอุตสาหกรรมมาใช้อย่างเด็ดขาด และการนำหอยเชอรี่มาทำปุ๋ยน้ำหมัก
     
  4. ใช้สารฆ่าหอย เพื่อกำจัดหอยที่ฝังตัวจำศีลค้างอยู่ในนาตั้งแต่ฤดูที่แล้ว การใช้สารฆ่าหอยจะต้องใช้ขณะที่น้ำในนาสูง 5 ซม. และต้องฉีดพ่นให้มากขึ้นในบริเวณที่ลุ่ม ซึ่งหอยมักจะรวมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในนาดำจึงต้องพ่นให้มากขึ้นในบริเวณที่ลุ่ม ซึ่งหอยมักจะรวมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในนาดำจึงต้องพ่นให้มากขึ้นในบริเวณที่ลุ่ม ส่วนในนาหว่านน้ำตมให้ใช้สารฆ่าหอยหลังจากหว่านข้าวและไขน้ำเข้านา 1 - 2 ซม. และระดับ น้ำสูงคงที่ 5 ซม. ข้อสำคัญในการใช้สารฆ่าหอยคือจะต้องใช้เพียงครั้งเดียวต่อฤดูปลูกข้าว ใช้ในวันที่ฝนไม่ตกและใช้เฉพาะที่กองกีฎและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตรแนะนำเท่านั้น
     
  5. ควบคุมระดับน้ำ ภายหลังใส่สารอย่างน้อย 2 วัน ต้องควบคุมให้ระดับน้ำสูงเฉลี่ย 5 ซม. ทั้งนี้เพื่อรักษาความเข้มข้นของสารฆ่าหอยที่ใส่ลงในนาข้าว ถ้าน้ำมากหรือน้อยเกินไปปริมาณสารที่หอยได้รับจะไม่เพียงพอที่จะทำให้หอยตาย หลังจากระยะนี้ผ่านไปแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ควรลดระดับน้ำในนาให้ต่ำที่สุด เพื่อป้องกันหอยที่เหลือกัดทำลายต้นข้าว
การป้องกันและกำจัดโดยวิธีผสมผสาน
เนื่องจากหอยเชอรี่ เป็นหอยที่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ระบาดแพร่กระจายโดยลอยไปตามน้ำไหล กินพืชน้ำได้เกือบทุกชนิด วิธีการป้องกันและกำจัดที่ให้ผลดีควรจะป้องกันและกำจัดโดยวิธีผสมผสาน ซึ่งเป็นการนำเอาวิธีการป้องกันหลาย ๆ วิธีมาดำเนินการ ในระยะเวลาที่เหมาะสมและตามความจำเป็นคือ

1. วิธีกล

  • เก็บกลุ่มไข่และตัวหอยมาบดทำลายหรือบดหอยเชอรี่ใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น ไก่ ปลา กะ ตะพาบน้ำ หรือเลี้ยงเป็ด ก่อนปลูกข้าวหรือหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วควรทำอย่างต่อเนื่องตลอดปี หากเกษตรกรจะนำเนื้อหอยมาประกอบเป็นอาหารบริโภคจะต้องต้มให้สุกก่อนเสมอ เพื่อฆ่าตัวพยาธิที่อาจติดมากับหอย และการจับหอยเชอรี่มาบดเพื่อทำปุ๋ยน้ำหมักใช้กับพืชต่าง ๆ
     
  • ใช้ตาข่ายไนล่อนชนิดตาถี่ ดักจับหอยเชอรี่ขณะสูบน้ำเข้านา
     
  • เมื่อเตรียมเทือกเพื่อหว่านเมื่อปักดำเสร็จแล้ว ควรทิ้งไว้ 2 - 3 วัน ให้มีน้ำขังอยู่ในระดับ 5 - 10 ซม. และหาที่กำบังร่ม ใช้ใบหญ้าอ่อนล่อให้หอยเชอรี่มากิน แล้วคอยเก็บหอยที่มากินหรือมาหลบแดด นำมาทำลายหรือทำประโยชน์ให้หมด
2. ชีววิธี
  • ใช้สัตว์ตัวน้ำ เช่น นกปากห่าง นกกระยาง นกอีลุ้ม เป็ด ฯลฯ กินหอยเชอรี่เป็นอาหารในฤดูปลูกข้าว ทั้งก่อนเพาะปลูกหรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าว โดยอาจปล่อยฝูงเป็ดเข้าไปในนา เพื่อให้เป็ดกินหอยเชอรี่ที่หลงเหลือจากการกำจัดโดยวิธีกล
     
  • วิธีการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ เกษตรกรควรจะช่วยกันอนุรักษ์และปกป้องคุ้มครองนกปากห่าง รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ ที่กินหอยเป็นอาหาร เพื่อช่วยกำจัดอีกทางหนึ่งด้วย
3. วิธีการใช้สารเคมี
ถ้าไม่จำเป็นเกษตรกรไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดหอย เพราะเปลือกหอยที่ตายแล้วในนาจะบาดมือและเท้าเกษตรกรขณะทำนา เกษตรกรอาจได้รับเชื้อโรคผ่านทางบาดแผลได้ง่าย โดยเฉพาะโรคฉี่หนูหรือโรคเล็ปโตสไปโรซีส ซึ่งกำลังระบาดรุนแรงอยู่ในขณะนี้

รวบรวม
  • ศักดา ศรีนิเวศน์ ผู้จัดการการจัดการหอยเชอรี่
  • สำรวล ดอกไม้หอม หัวหน้ากลุ่มงานสัตว์ศัตรูพืช กองป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
  • ชมพูนุท จรรยาเพศ นักสัตววิทยา 7 กลุ่มงานสัตววิทยาการเกษตร กองกีฎและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร
  • อรุณพล พยัคฆพันธ์ ผู้ชำนาญการด้านสัตว์ศัตรูพืช สถาบันส่งเสริมเกษตรชีวภาพและโรงเรียนเกษตรกร
  • ไพโรจน์ ศรีจันทรา นักการเกษตร สถาบันส่งเสริมเกษตรชีวภาพและโรงเรียนเกษตร
จัดทำ
  • รุจิพร จารุพงศ์ กองเกษตรสัมพันธ์
ที่ปรึกษา
  • ปราโมทย์ รักษาราษฎร์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
  • อรพิน ถิระวัฒน์ ผู้อำนวยกากองป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
  • หลักชัย มีนะกนิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมเกษตรชีวภาพและโรงเรียนเกษตรกร

ยำหอยเชอรี่ทรงเครื่อง

ส่วนผสม
หอยเชอรี่แกะเอาแต่เนื้อ 1/2 กิโลกรัม
มะพร้าวคั่ว 1/2 ถ้วยตวง
ตะไคร้หั่นฝอย 5 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดง กระเทียมทอด 4 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงทอด 1 ถ้วยตวง
น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
ส้มโอหรือมะม่วงสับ 1/2 ถ้วยตวง
น้ำปลา 3 ช้อนชา
น้ำตาล 1 ช้อนชา
กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ
1. นำหอยเชอรี่ลวกพอปากหอยอ้า นำเอาแต่เนื้อออกมาเสียบกับไม้แหลม ทาด้วยกะทิให้เหลืองแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
2. มะพร้าวขูดนำไปคั่วให้เหลือง ตะไคร้หั่นฝอยแล้วทอดนำมาคลุกกับส้มโอหรือมะม่วงสับ
3. ปรุงรสด้วยน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาล รสเปรี้ยวหวานตามชอบ


เครดิต:http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/output_processing/01_28.html

หอยเชอรี่เลิศรส

ส่วนผสม

หอยเชอรี่เผาให้สุกแกะเอาแต่เนื้อหั่นบาง ๆ 1 ถ้วย
กระเทียมสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว สะระแหน่ ผักกาดหอม

วิธีทำ

ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว กระเทียม พริกขี้หนูเข้าด้วยกัน ชิมรสเปรี้ยว เค็มเผ็ดตามชอบ พักไว้นำส่วนผสมดังกล่าวมาคลุกเคล้ากับหอยให้ทั่ว ตักใส่จานที่แต่งด้วยผักกาดหอมโรยด้วยใบสะระแหน่

หอยเชอรี่ทอดกระเทียมพริกไทย

ส่วนผสมหอยเชอรี่ต้มแกะเอาแต่เน้อ หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ 3 ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วเค็ม 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 10 กลีบ
พริกไทย 20 เม็ด

วิธีทำนำกระเทียม พริกไทย โขลกรวมกัน นำหอยเชอรี่ที่เตรียมไว้มาคลุกเคล้าใส่เกลือป่น ซีอิ้ว หมักทิ้งไว้สักครู่ นำมาทอดให้สุกเหลืองดี เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมกับข้าวสวย หรือเป็นกับแกล้มได้ดี

เครดิต: http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/output_processing/01_5.html

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

สมุนไพรสูตรปรามโรค

ส่วนผสม
1. หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ส่วน
2. กากน้ำตาล 1 ส่วน
3. น้ำส้มสายชูกลั่น 5%(ให้ใช้ของ อสร.) 1ส่วน
4. เหล้าขาว 35 ดีกรี 1 ส่วน
วิธีทำ: นำส่วนผสมทั้งหมดมารวมกันและคนให้เข้ากันหมักไว้ 24 ชั่วโมง ใช้ได้เลย
 สรรพคุณ * ใช้รักษาโรคใบแห้ง ใบไหม้ ใบจุด ในนาข้าว * ใช้รักษาโรคเชื้อราที่มากับน้ำค้างของพืช *                       ใช้รักษาโรคโคนเน่า รากเน่า ของพืช * ใช้รักษาโรคพริกเป็นโพรง
วิธีใช้ - พืช ผัก ใช้ สมุนไพรปรามโรค ผสมน้ำในอัตราส่วน 5-10 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร - ไม้ผล ใช้ สมุนไพรปรามโรค ผสมน้ำในอัตราส่วน 30-50 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร - นาข้าวใช้ สมุนไพรปรามโรค ผสมน้ำในอัตราส่วน 20-50 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร นำไปฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นที่แดดอ่อนๆอาทิตย์ ละ 2 ครั้ง หรือ จนกว่าจะหาย

การทำฮอร์โมนไข่สูตรพืช

การทำฮอร์โมนไข่สูตรพืช

ส่วนผสม
1. ไข่ไก่สด 5 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 5 กิโลกรัม
3. ยาคูลท์ 1 ขวด
4. แป้งข้าวหมาก1 ก้อน

วิธีทำ
นำไข่ไก่สดมา 5 กิโลกรัมตีไข่แยกเปลือกคนไข่ขาวไข่แดงให้ข้าวกันแล้วเทกากน้ำตาลลงผสมคนให้เข้ากันแล้วนำเปลือกไข่มาตำให้ละเอียดรวมกับแป้งข้าวหมากแล้วนำมาผสมกันคนให้เข้ากันแล้วเทยาคูลท์ลงไป หมักไว้ 14 วัน คนทุกวัน


ประโยชน์ 
ใช้เปิดตาดอก เร่งดอก เร่งผลโตเร็ว เพิ่มน้ำหนักให้เมล็ดข้าวเต็ม อัตราการใช้ 1.ใช้กับพืชผักและไม้ดอก 5-10 ซีซี + น้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีดพ่น ใช้กับไม้ผล 10-20 ซีซี + น้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีดพ่น ใช้กับนาข้าว 20-30 ซีซี + น้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีดพ่นตอนข้าวอายุ 45 วันขึ้นไป

จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรหัวเชื้อ

กล้วยปลูกที่ไหนดินบริเวณกอกล้วย ณ นั้น จะดี เบื้องหลังความร่วนซุยอุ้มน้ำของดินดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินรอบๆ รากกล้วย ซึ่งหากขยายเชื้อให้มากแล้ว ย่อมนำไปใช้ปรับปรุงดินในที่อื่นๆให้ดีขึ้นได้นอกจากนั้นหน่อกล้วย มีน้ำยางฝาดหรือสารแทนนินมาก เมื่อหมักแล้วน้ำหมักที่ได้ยังสามารถนำมาใช้ในการควบคุมโรคพืชบางอย่างได้ทั้งสามารถนำไปใช้ปรับปรุงสภาพน้ำที่เน่าเสียให้ฟื้นสภาพกลับดีได้อีกด้วย

 ส่วนผสม
 1. หน่อกล้วยสับบดละเอียด 3 กก.
 2. กากน้ำตาล 1 กก.

วิธีทำ 
 ขุดหน่อกล้วยต้นสมบูรณ์ที่ไม่เป็นโรคขนาดหน่อใบธงหรือใบหูกวางสูงไม่เกิน 1 เมตรเอาเหง้าพร้อมรากที่มีดินติดรากขึ้นมาด้วย 1- 2 ช้อนแกงสับหรือบดให้ละเอียดโดยไม่ต้องล้างน้ำแล้วนำมาคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลในอัตราส่วนเป็นน้ำหน่อกล้วย 3 ส่วนต่อกากน้ำตาล 1 ส่วนเช่นหน่อกล้วย 3 กิโลใช้กากน้ำตาล 1 กิโล ถ้าหน่อกล้วย 6 กิโล ใช้กากน้ำตาล 2 กิโลเป็นต้นหมักในภาชนะพลาสติกมีฝาปิดเก็บไว้ในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกจากนั้นคนเช้าเย็นทุกวันจนครบ7 วันแล้วคั้นเอาน้ำออกเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน ในกรณีต้องการใช้มากให้ขยายเชื้อโดยใช้สูตรขยาย จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรขยาย ส่วนผสม 1.หยวกกล้วยสับบดละเอียด 60 กก. 2. กากน้ำตาล 20 กก. 3. น้ำ 10 ลิตร 4. ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ก้อน 5. หัวเชื้อ 1 ลิตร วิธีทำ ผสมส่วนต่างๆในถังพลาสติก โดยบี้ลูกแป้งข้าวหมากให้เป็นผงเสียก่อน ต้นกล้วยใช้เฉพาะส่วนของต้นที่ใหญ่หรือตัดเครือแล้ว สับบดย่อยหรือโขลกให้ละเอียดก่อนใส่ แล้วคนให้เข้ากันปิดฝาเก็บในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้นคนเช้าเย็นจนครบ 7 วัน จึงคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ซึ่งใช้ได้ดีเช่นเดียวกับ หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย

 ประโยชน์และวิธีใช้

1.ใช้ปรับปรุงโครงสร้างของดินและกำจัดเชื้อโรคในดินผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วยในอัตรา 20 -40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ราดลงบนดินรวมไปพร้อมกับการให้น้ำ

 2. ใช้ป้องกันกำจัดโรคพืช ผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดต้นพืชให้เปียกชุ่มโชกทั่วทั้งใบและใต้ใบเพื่อล้างน้ำฝนภายหลังจากที่ฝนหยุดตกนานเกิน 30นาทีเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำ หรือฉีดพ่นใน20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตรเมื่อพบการระบาดของโรคพืชทั้งเว้นการให้น้ำ 48 ช.ม. เพื่อลดความชื้น

 3. ใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในร่องสวนสระเก็บน้ำและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร

4. ล้างทำความสะอาดคอกสัตว์ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร

5. เร่งการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุหรือดับกลิ่นขยะของเน่าเสียให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตรกรณีหมักฟางข้างในแปลงนาใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย 5 ลิตรต่อพื้นที่นา 1 ไร่

 6. จุลินทรีย์หน่อกล้วยเก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน

 หมายเหตุ กรณีฉีดพ่นหรือราดลงดินโดยไม่ให้ถูกใบพืชสามารถใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย1 ลิตร ต่อน้ำ 200ลิตรเพื่อปรับโครงสร้างของดินแต่การใช้แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 ลิตรต่อ 1 ไร่

 สูตรดึงช่อต่อยอด

1. แกนกล้วยที่สับบดละอียดแล้ว 3 กิโลกรัม

2. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม 

วิธีทำ นำแกนกล้วยมาสับบดให้ละเอียดนำมาคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลให้เข้ากัน ปิดฝาให้สนิทหมักไว้นาน 7 วัน(ให้คนทุกวัน)เมื่อครบ 7 วัน คั้นเอาแต่น้ำใส่ขวดเก็บไว้สามารถเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน 

ประโยชน์: ใช้ยืดช่อไม้ผล รวงข้าว ไม้ดอก ให้ยาวขึ้น ใช้ยืดถั่วฝักยาว แตง ให้ผลยาวขึ้น ฯลฯ

 วิธีใช้ * พืชผัก 5-10 ซีซี(1ช้อนโต๊ะ) + น้ำ 20 ลิตร * ผักกินผล,ไม้ดอก,ไม้ผล 10-20 ซีซี(1 ช้อนแกง) + น้ำ 20 ลิตร * นาข้าว 20-30 ซีซี + น้ำ 20 ลิตร ผสมน้ำตามอัตราส่วนที่กำหนด นำไปฉีดพ่นพืชให้เปียกชุ่มโชก ไปทั่วทั้งต้นในช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็นแดดอ่อน 5-10 วันต่อครั้ง

ทอดมันหอยเชอรี่

ส่วนผสม หอยเชอรี่ซอยละเอียด 1 กิโลกรัม น้ำพริกแกงเผ็ด 1/2 กิโลกรัม แป้งหมี่ 1/2 กิโลกรัม ถั่วฝักยาวซอย 200 กรัม น้ำมันพืช น้ำปลา วิธีทำ 1. นำหอยเชอรี่ทดในน้ำมันให้สุก 2. นำน้ำพริกแกงเผ็ดกับแป้งหมี่ผสมให้เข้ากันโดยเติมน้ำเพียงเล็กน้อยเพื่อคลุกให้เข้ากันดี 3. นำหอยเชอรี่ที่ทอดไว้และนำถั่วฝักยาวที่ซอยไว้ใส่ในน้ำพริกแกงเผ็ดที่ผสมกับแป้งหมี่ที่เตรียมไว้คลุกให้เข้ากัน 4. ตั้งน้ำมันให้ร้อนจัด นำทอดมันมาปั้นเป็นแผ่นลงทอดให้เหลืองขณะที่ทอดให้ลดไฟลงเพื่อให้ข้างในสุก พอเหลืองตักขึ้นใส่จานจัดให้สวยงามทานกับน้ำจิ้ม น้ำจิ้ม ส่วนผสม น้ำตาลทราย 1/2 กิโลกรัม น้ำส้มสายชู 1/3 ขวด วิธีทำ 1. นำน้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู เกลือ เคี่ยวให้เหนียว ตั้งทิ้งให้อุ่น 2. นำพริกแดงมาโขลกให้ละเอียด ใส่ลงในน้ำส้มสายชูที่เคี่ยวไว้ 3. หั่นแตงกวาใส่ในถ้วยน้ำจิ้ม และโรยด้วยผักชี เครดิต: http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/output_processing/01_2.html

หอยเชอรี่อาหารจานโปรด

หอยเชอรี่ หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือ หอยเป๋าฮื้อน้ำจืด มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ สำหรับประเทศไทยมีผู้นำเข้ามาเลี้ยงไว้เป็นครั้งแรก เพื่อความสวยงามในตู้เลี้ยงปลา เนื่องจากเลี้ยงง่ายและขายพันธุ์ได้รวมเร็ว จึงมีผู้นำไปเลี้ยงเป็นฟาร์ม เพราะคาดว่าจะขายได้ราคาดี แต่ปรากฎว่าไม่มีผู้ซื้อ เพราะคนไม่นิยมบริโภคเป็นอาหาร จึงต้องเลิกเลี้ยง และปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้เกิดระบาดแพร่กระจายเข้าไปในนา ทำลายต้นขาวของเกษตรกร โดยเฉพาะในนาข้าวแถบชานเมืองของกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี พิษณุโลก และอุดรธานี เนื่องจากหอยชนิดนี้สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ไกล ๆ ด้วยการลอยไปตามน้ำไหล จึงระบาดแพร่ไปเกือบทั่วประเทศ ในขณะนี้มีการระบาดไม่น้อยกว่า 66 จังหวัดแล้ว รูปร่างลักษณะและลักษณะการทำลาย หอยเชอรี่เป็นหอยทากน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือเป๋าฮื้อน้ำจืด หอยชนิดนี้มีลักษณะคล้ายหอยโข่งบ้านเรา แต่เปลือกมีสีอ่อนกว่าคือ มีทั้งสีเขียวเข้มปนดำอย่างเดียว ในขณะที่บางตัวมีสีเหลืองปนน้ำตาล ส่วนเนื้อหอยมีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองแก่ หรือสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้มเกือบดำ หอยตัวเต็มวัยอายุเพียง 3 เดือน มีความสูง 2.5 ซ.ม. สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ แม่หอยจะวางไข่ในที่แห้งเหนือระดับน้ำ ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 288 - 3,000 ฟอง แล้วแต่ขนาดตัวแม่ ถ้าตัวแม่มีขนาดใหญ่จำนวนไข่ก็มากขึ้นตามไปด้วย แม่หอยสามารถวางไข่ได้ตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูฝนจะวางไข่ได้ถึง 10 - 14 ครั้งต่อเดือน ส่วนในฤดูร้อนจำนวนครั้งที่แม่หอยวางไข่จะน้อยลง ไข่หอยเชอรี่จะฟักเป็นตัวภายใน 7 - 12 วัน ลูกหอยตัวเล็ก ๆ จะกินสิ่งที่อ่อนนิ่ม เช่น สาหร่ายเป็นอาหาร และเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีขนาด 1.6 ซม. ก็เริ่มกัดกินต้นข้าวได้ หอยเชอรี่ชอบกินต้นข้าวอ่อน ๆ ตั้งแต่ระยะข้าวปักดำใหม่จนถึงแตกกอเต็มที่ โดยจะกัดกินลำต้นข้าวใต้ผิวน้ำในนาข้าวเหนือพื้นดิน 0.5 - 1 นิ้ว เมื่อต้นข้าวถูกกัดขาดก็จะกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อไปจนหมดต้น นอกจากนี้หอยเชอรี่ยังกินได้ทั้งซากพืชและซากสัตว์ ตลอดจนพืชน้ำสดชนิดอื่น เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด บัว ผักตบชวา และกระจับ เป็นต้น โดยจะกินอย่างรวดเร็วและกินได้ตลอดเวลา คิดเป็นน้ำหนักอาหารที่กิน 50 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวต่อวัน การจัดการหอยเชอรี่ การจัดการหอยเชอรี่ให้ประสบผลสำเร็จ จำเป็นต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ร่วมกันการใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียวจะทำให้การกำจัดไม่ได้ผล อีกทั้งยังต้องใช้สารเคมีในปริมาณมากขึ้น ดังนั้นเกษตรกรควรคำนึงว่าการจัดการหอยเชอรี่ที่ดีที่สุดคือใช้วิธีผสมผสานโดยปฏิบัติดังนี้ ใช้วัสดุกั้นทางที่ไขน้ำเข้านา หอยเชอรี่แพร่กระจายและระบาดเข้าสู่นาข้าว โดยทางน้ำเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สูบน้ำเข้านาไม่ว่าจะเป็นนาดำหรือนาหว่านให้ใช้เฝือกกันสวะและหอยที่มีขนาดใหญ่ก่อน แล้วจึงกั้นตามอีกชั้นด้วยตาข่ายไนล่อนตาถี่ ต้องเก็บหอยและสวะออกจากตาข่ายเพื่อไม่ให้กีดขวางทางน้ำเข้าอย่างสม่ำเสมอ ทำลายตัวหอยและไข่ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในเวลาเช้าหรือเย็น โดยใช้กระชอนที่มีด้านยาวช้อนตัวหอยและไข่ ซึ่งตัวหอยจะอยู่บริเวณที่ลุ่มหรือที่ร่มข้างคันนา ส่วนไข่มักจะติดอยู่ตามต้นข้าวและวัชพืช ทั้งนี้เพราะถ้าปล่อยทิ้งให้หอยอยู่ในนาข้าว หอยจะกัดกินต้นข้าวและวางไข่ แพร่ลูกหลานอีกจำนวนมาก การนำหอยเชอรี่มาทำประโยชน์ เช่น ทำอาหารบริโภคในครัวเรือน นำมาจำหน่ายหรือนำมาเป็นอาหารสัตว์ต่าง ๆ แต่ไม่ควรเก็บหอยเชอรี่จากบริเวณที่ใช้สารเคมีหรือแหล่งน้ำบริเวณอุตสาหกรรมมาใช้อย่างเด็ดขาด และการนำหอยเชอรี่มาทำปุ๋ยน้ำหมัก ใช้สารฆ่าหอย เพื่อกำจัดหอยที่ฝังตัวจำศีลค้างอยู่ในนาตั้งแต่ฤดูที่แล้ว การใช้สารฆ่าหอยจะต้องใช้ขณะที่น้ำในนาสูง 5 ซม. และต้องฉีดพ่นให้มากขึ้นในบริเวณที่ลุ่ม ซึ่งหอยมักจะรวมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในนาดำจึงต้องพ่นให้มากขึ้นในบริเวณที่ลุ่ม ซึ่งหอยมักจะรวมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในนาดำจึงต้องพ่นให้มากขึ้นในบริเวณที่ลุ่ม ส่วนในนาหว่านน้ำตมให้ใช้สารฆ่าหอยหลังจากหว่านข้าวและไขน้ำเข้านา 1 - 2 ซม. และระดับ น้ำสูงคงที่ 5 ซม. ข้อสำคัญในการใช้สารฆ่าหอยคือจะต้องใช้เพียงครั้งเดียวต่อฤดูปลูกข้าว ใช้ในวันที่ฝนไม่ตกและใช้เฉพาะที่กองกีฎและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตรแนะนำเท่านั้น ควบคุมระดับน้ำ ภายหลังใส่สารอย่างน้อย 2 วัน ต้องควบคุมให้ระดับน้ำสูงเฉลี่ย 5 ซม. ทั้งนี้เพื่อรักษาความเข้มข้นของสารฆ่าหอยที่ใส่ลงในนาข้าว ถ้าน้ำมากหรือน้อยเกินไปปริมาณสารที่หอยได้รับจะไม่เพียงพอที่จะทำให้หอยตาย หลังจากระยะนี้ผ่านไปแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ควรลดระดับน้ำในนาให้ต่ำที่สุด เพื่อป้องกันหอยที่เหลือกัดทำลายต้นข้าว การป้องกันและกำจัดโดยวิธีผสมผสาน เนื่องจากหอยเชอรี่ เป็นหอยที่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ระบาดแพร่กระจายโดยลอยไปตามน้ำไหล กินพืชน้ำได้เกือบทุกชนิด วิธีการป้องกันและกำจัดที่ให้ผลดีควรจะป้องกันและกำจัดโดยวิธีผสมผสาน ซึ่งเป็นการนำเอาวิธีการป้องกันหลาย ๆ วิธีมาดำเนินการ ในระยะเวลาที่เหมาะสมและตามความจำเป็นคือ 1. วิธีกล เก็บกลุ่มไข่และตัวหอยมาบดทำลายหรือบดหอยเชอรี่ใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น ไก่ ปลา กะ ตะพาบน้ำ หรือเลี้ยงเป็ด ก่อนปลูกข้าวหรือหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วควรทำอย่างต่อเนื่องตลอดปี หากเกษตรกรจะนำเนื้อหอยมาประกอบเป็นอาหารบริโภคจะต้องต้มให้สุกก่อนเสมอ เพื่อฆ่าตัวพยาธิที่อาจติดมากับหอย และการจับหอยเชอรี่มาบดเพื่อทำปุ๋ยน้ำหมักใช้กับพืชต่าง ๆ ใช้ตาข่ายไนล่อนชนิดตาถี่ ดักจับหอยเชอรี่ขณะสูบน้ำเข้านา เมื่อเตรียมเทือกเพื่อหว่านเมื่อปักดำเสร็จแล้ว ควรทิ้งไว้ 2 - 3 วัน ให้มีน้ำขังอยู่ในระดับ 5 - 10 ซม. และหาที่กำบังร่ม ใช้ใบหญ้าอ่อนล่อให้หอยเชอรี่มากิน แล้วคอยเก็บหอยที่มากินหรือมาหลบแดด นำมาทำลายหรือทำประโยชน์ให้หมด 2. ชีววิธี ใช้สัตว์ตัวน้ำ เช่น นกปากห่าง นกกระยาง นกอีลุ้ม เป็ด ฯลฯ กินหอยเชอรี่เป็นอาหารในฤดูปลูกข้าว ทั้งก่อนเพาะปลูกหรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าว โดยอาจปล่อยฝูงเป็ดเข้าไปในนา เพื่อให้เป็ดกินหอยเชอรี่ที่หลงเหลือจากการกำจัดโดยวิธีกล วิธีการอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ เกษตรกรควรจะช่วยกันอนุรักษ์และปกป้องคุ้มครองนกปากห่าง รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ ที่กินหอยเป็นอาหาร เพื่อช่วยกำจัดอีกทางหนึ่งด้วย 3. วิธีการใช้สารเคมี ถ้าไม่จำเป็นเกษตรกรไม่ควรใช้สารเคมีกำจัดหอย เพราะเปลือกหอยที่ตายแล้วในนาจะบาดมือและเท้าเกษตรกรขณะทำนา เกษตรกรอาจได้รับเชื้อโรคผ่านทางบาดแผลได้ง่าย โดยเฉพาะโรคฉี่หนูหรือโรคเล็ปโตสไปโรซีส ซึ่งกำลังระบาดรุนแรงอยู่ในขณะนี้ เครดิต :http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/output_processing/01.html

จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรหัวเชื้อ

กล้วยปลูกที่ไหนดินบริเวณกอกล้วย ณ นั้น จะดี เบื้องหลังความร่วนซุยอุ้มน้ำของดินดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินรอบๆ รากกล้วย ซึ่งหากขยายเชื้อให้มากแล้ว ย่อมนำไปใช้ปรับปรุงดินในที่อื่นๆให้ดีขึ้นได้นอกจากนั้นหน่อกล้วย มีน้ำยางฝาดหรือสารแทนนินมาก เมื่อหมักแล้วน้ำหมักที่ได้ยังสามารถนำมาใช้ในการควบคุมโรคพืชบางอย่างได้ทั้งสามารถนำไปใช้ปรับปรุงสภาพน้ำที่เน่าเสียให้ฟื้นสภาพกลับดีได้อีกด้วย ส่วนผสม 1. หน่อกล้วยสับบดละเอียด 3 กก. 2. กากน้ำตาล 1 กก. วิธีทำ ขุดหน่อกล้วยต้นสมบูรณ์ที่ไม่เป็นโรคขนาดหน่อใบธงหรือใบหูกวางสูงไม่เกิน 1 เมตรเอาเหง้าพร้อมรากที่มีดินติดรากขึ้นมาด้วย 1- 2 ช้อนแกงสับหรือบดให้ละเอียดโดยไม่ต้องล้างน้ำแล้วนำมาคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลในอัตราส่วนเป็นน้ำหน่อกล้วย 3 ส่วนต่อกากน้ำตาล 1 ส่วนเช่นหน่อกล้วย 3 กิโลใช้กากน้ำตาล 1 กิโล ถ้าหน่อกล้วย 6 กิโล ใช้กากน้ำตาล 2 กิโลเป็นต้นหมักในภาชนะพลาสติกมีฝาปิดเก็บไว้ในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกจากนั้นคนเช้าเย็นทุกวันจนครบ7 วันแล้วคั้นเอาน้ำออกเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน ในกรณีต้องการใช้มากให้ขยายเชื้อโดยใช้สูตรขยาย จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรขยาย ส่วนผสม 1.หยวกกล้วยสับบดละเอียด 60 กก. 2. กากน้ำตาล 20 กก. 3. น้ำ 10 ลิตร 4. ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ก้อน 5. หัวเชื้อ 1 ลิตร วิธีทำ ผสมส่วนต่างๆในถังพลาสติก โดยบี้ลูกแป้งข้าวหมากให้เป็นผงเสียก่อน ต้นกล้วยใช้เฉพาะส่วนของต้นที่ใหญ่หรือตัดเครือแล้ว สับบดย่อยหรือโขลกให้ละเอียดก่อนใส่ แล้วคนให้เข้ากันปิดฝาเก็บในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้นคนเช้าเย็นจนครบ 7 วัน จึงคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ซึ่งใช้ได้ดีเช่นเดียวกับ หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย ประโยชน์และวิธีใช้ 1.ใช้ปรับปรุงโครงสร้างของดินและกำจัดเชื้อโรคในดินผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วยในอัตรา 20 -40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ราดลงบนดินรวมไปพร้อมกับการให้น้ำ 2. ใช้ป้องกันกำจัดโรคพืช ผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดต้นพืชให้เปียกชุ่มโชกทั่วทั้งใบและใต้ใบเพื่อล้างน้ำฝนภายหลังจากที่ฝนหยุดตกนานเกิน 30นาทีเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำ หรือฉีดพ่นใน20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตรเมื่อพบการระบาดของโรคพืชทั้งเว้นการให้น้ำ 48 ช.ม. เพื่อลดความชื้น 3. ใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในร่องสวนสระเก็บน้ำและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร 4. ล้างทำความสะอาดคอกสัตว์ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร 5. เร่งการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุหรือดับกลิ่นขยะของเน่าเสียให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตรกรณีหมักฟางข้างในแปลงนาใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย 5 ลิตรต่อพื้นที่นา 1 ไร่ 6. จุลินทรีย์หน่อกล้วยเก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน หมายเหตุ กรณีฉีดพ่นหรือราดลงดินโดยไม่ให้ถูกใบพืชสามารถใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย1 ลิตร ต่อน้ำ 200ลิตรเพื่อปรับโครงสร้างของดินแต่การใช้แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 ลิตรต่อ 1 ไร่

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

การปลูกข้าวตอซัง

เรียบเรียง : ไพบูลย์ พงษ์สกุล กลุ่มข้าว
จากสภาพปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และสภาพดิน ที่เสื่อมลง เป็นข้อจำกัดที่ทำให้เกษตรกรต้องคิดหาวิธีการ ลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง ลดการใช้สารเคมีและปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น เกษตรกรที่ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว ได้พัฒนาวิธีการปลูกข้าว โดยอาศัยตอซังเดิม ซึ่งลดค่าใช้จ่ายด้านเมล็ดพันธุ์ การเตรียมดิน และลดการใช้สารเคมีควบคุมวัชพืช แต่เพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน

การปลูกข้าวตอซัง มีแนวทาง ดังนี้ ข้อควรระวังในการปลูกข้าวตอซัง จากพื้นที่ตอซังสม่ำเสมอ สามารถควบคุมระดับน้ำได้ ดังนั้น พื้นที่เขตชลประทาน หรือมีแหล่งน้ำจึงเหมาะสม ใช้ปลูกข้าวตอซัง เมล็ดพันธุ์ที่ใช้ครั้งแรกต้องเป็นพันธุ์ไม่ไวแสง อายุ 115-120 วัน เช่นปทุมธานี 1ม สุพรรณบุรี 1 เป็นต้น(ก่อนทำข้าวตอซัง) ต้องมีความบริสุทธิ์ (ไม่มีพันธุ์ข้าวอื่นปน) และในแปลงนาต้องกำจัดข้าวเรื้อออกให้หมด ต้องเก็บเกี่ยวข้าวในระยะพลับพลึง (เมล็ดข้าวสีเหลือง 80% ของรวง ตอซังสด) โดยระบายน้ำออกให้มีความชื้นพอเหมาะในวันเก็บเกี่ยว (ความชื้นดินในวันเก็บเกี่ยวหยิบขึ้นมาปั้นลูกกระสุนได้) โดยเกี่ยวตอซังให้ยาวที่สุด (เวลาย่ำตอซังราบเรียบกว่าไว้ต่อสั้น) การย่ำตอซัง และฟางที่ใช้คลุมต้องให้ราบเรียบไม่มีตอซังกระดก ขั้นตอนและวิธีการปลูกข้าวตอซัง แปลงนาต้องสม่ำเสมอ ต้นข้าวที่ปลูกครั้งแรกด้วยเมล็ดต้องแข็งแรงปราศจากโรคแมลง เก็บเกี่ยวข้าวในระยะพลับพลึง โดยระบายน้ำออกจากแปลงนา ให้ดินมีความชื้นเหมาะสม (หยิบดินในแปลงนาปั้นเป็นลูกกระสุนได้) หลังเก็บเกี่ยว กระจายฟางคลุมตอซังทั่วแปลงนา ทำการย่ำต่อซัง และฟางที่คลุมให้ราบเรียบ อย่าให้ตอซังกระดกขึ้น (เพื่อป้องกันตอซังกระดกขึ้นมา หน่อข้าวจะงอกข้อที่ 2-3 หรือปลายตอซัง) จึงควรย่ำในช่วงเช้ามืด ดินมีความชื้น ตอซังและฟางนิ่ม ย่ำง่าย โดยใช้ลูกทุบ (อีขลุบ) ใช้ล้อเหล็กของรถไถเดินตาม หรือล้อขนาดเท่ากับมัดติดกัน 5 ล้อ ลากย่ำ หลังย่ำตอซังเกษตรกรต้องตรวจสอบว่าฟางที่คลุมจุดใดหนาให้เอาออก คลุมบาง ๆ ปล่อยทิ้งไว้รอจนกว่าหน่อข้าว (ที่เกิดจากกกข้าว) งอกเจริญ มี 2-3 ใบ (อายุประมาณ 15 วัน นับจากวันย่ำฟาง) จึงสูบน้ำเข้าแปลงนา พอแฉะ (อย่าให้น้ำมากจะทำให้ฟางที่คลุมลอย) หลังระบายน้ำเข้า 1 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 (ปุ๋ยยูเรีย) อัตรา 15-20 กก./ไร่ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต และเร่งขบวนการย่อยสลายของตอซังและฟาง รักษาน้ำในนาไม่ให้รั่ว เพื่อไม่ให้ปุ๋ยที่ใส่สูญหาย หลังใส่ปุ๋ยครั้งแรกประมาณ 10-12 วัน ระบายน้ำออก (เพื่อลดปัญหาการเกิดก๊าซซึ่งจะทำให้ใบเป็นสีส้ม ในระยะที่ฟางย่อยสลาย) ปล่อยให้ดินแห้ง 3-4 วัน ต้นข้าวจะมีรากงอกออกมา จึงสูบน้ำเข้าแปลงนาในระดับปูคลาน (5 ซม.) ใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 30 กก./ไร่ หรือใช้ปุ๋ยสูตร 18-12-6 หรือ 16-128 อัตรา 35 กก./ไร่ ในกรณีปลูกข้าวติดต่อกันไม่มีเวลาหยุดพักเป็นเวลานานเพื่อชดเชยธาตุ P ที่ต้นข้าวใช้ไป ใส่ปุ๋ยแต่งหน้า สูตร 46-0-0 อัตรา 7-10 กก./ไร่ หลังใส่ปุ๋ยครั้งแรก 10-12 วัน(ตามข้อ 7) หลังใส่ปุ๋ยแต่งหน้า (ตามข้อ 8) เพิ่มระดับน้ำในนาสูง 10-12 ซม. ควบคุมระดับน้ำไว้จนกว่ารวงข้าวเริ่มก้ม เมล็ดปลายรวงเริ่มเหลือง จึงระบายน้ำออกจากแปลงนา เพื่อเตรียมการเก็บเกี่ยว

ข้อดีของการปลูกข้าวตอซัง ลดต้นทุนการปลูกข้าวได้ไร่ละ 470-911 บาท ดังนี้ - ค่าเตรียมดินไร่ละ 150 บาท - ค่าเมล็ดพันธุ์ ไร่ละ 120 บาท (อัตราปลูกไร่ละ 30 กก.) - สารเคมีคุมกำเนิดวัชพืช ไร่ละ 100 บาท ลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช/เพลี้ยไฟ/หอยเชอรี่ (ต้นข้าวที่เกิดจาก หน่อเติบโตเร็ว แข็งแรง หอยเชอรี่ทำลายได้น้อยมาก และหอยจะช่วยกินฟางในแปลงนา เพราะอ่อนนุ่มเน่า) ลดขั้นตอนการเตรียมดิน/การหว่านหรือดำ ลดอายุต้นข้าวได้น้อยลง (ปลูกข้าวตอซังแก่เร็วกว่าปลูกด้วยเมล็ด 10-15 วัน) เพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน โครงสร้างดินโปร่งร่วนซุยขึ้น สามารถปลูกข้าวตอซัง โดยใช้ตอเดิมติดต่อกันได้ ถึง 2 ฤดู โดยให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน ที่มา : ฐิรัส อินทพงษ์ เกษตรอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี 

เครดิต : http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/rice_and_grains/03.html

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

ศัตรูธรรมชาติเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์

เกษตรกรต้องช่วยกันอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติไว้ควบคุมแมลงศัตรูข้าว โดยการปฏิบัติดังนี้ ใช้พันธุ์ต้านทานในแหล่งที่มีศัตรูข้าวระบาด เก็บรักษาต้นพืชที่อยู่บนคันนาไว้บ้าง เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยและอาหารของตัวห้ำและตัวเบียน ไม่เผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว ปลูกพืชหมุนเวียนหลังเก็บเกี่ยว เลือกใช้สารเคมีที่มีความเฉพาะเจาะจงต่อชนิดของศัตรูข้าว เมื่อศัตรูข้าวมีปริมาณถึงระดับที่จะทำความ เสียหายเท่านั้น โดยพิจารณาจากการวิเคราะห์ระบบนิเวศน์วิทยาและสมดุลของศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติ เครดิต : http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/rice_and_grains/15_3.html

การป้องกันกำจัดศัตรูข้าวโดยวิธีผสาน

กรมส่งเสริมการเกษตร 1. ปลูกพืชและดูแลให้แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งได้แก่ - ใช้เมล็ดพันธุ์ดี ปราศจากเมล็ดวัชพืชปะปน, ต้านทานโรค-แมลง - เตรียมดินและกัดวัชพืชอย่างถูกต้อง - ใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมกับชนิดดินและพันธุ์ข้าว - ระดับน้ำประมาณ 15 ซม. 2. ลงสำรวจตรวจแปลงนาทุกอาทิตย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่เกษตรกรจะต้องลงตรวจแปลงนาอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยสำรวจตรวจตราอย่างใกล้ชิดว่าสภาพของข้าวเป็นอย่างไร ระดับน้ำ ปุ๋ย เพียงพอเหมาะสมแล้วหรือยัง ปริมาณ สัดส่วนของศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติ สภาพดินฟ้าอากาศ เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างถูกต้อง การสำรวจนี้เพื่อประเมินสภาพนิเวศน์วิทยาในแต่ละช่วงการเจริญเติบโตของข้าว 3. อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ โดยปกติในนาข้าวเขตร้อนทั่วๆ ไป ปริมาณศัตรูธรรมชาติของศัตรูพืช เช่น แมงมุม แมลงปอ มวนดูดไข่ จิงโจ้น้ำ แตนเบียน เชื้อจุลินทรีย์ และสัตว์อื่น ๆ อีกมากมายหลายชนิด มีอยู่อย่างเพียงพอที่จะควบคุมศัตรูข้าว ซึ่งมีชนิดที่สำคัญอยู่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น สมดุลของธรรมชาตินี้ จะถูกทำลายลงหากเกษตรกรใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะสารในกลุ่มไพรีรอยส์และออกาโนฟอสเฟต ซึ่งมีพิษกว้างขวาง ทำลายสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดในนาข้าว ซึ่งในที่สุดจะมีผลให้เกิดการระบาดเพิ่มมากขึ้น ในช่วง 30 วัน หลังจากปลูกข้าวแล้ว ไม่ควรใช้สารฆ่าแมลงใด ๆ ทั้งสิ้น 4. ให้เกษตรกรเป็นผู้จัดการที่ดีหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินกิจการด้วยตนเอง เมื่อเกษตรกรสามารถวิเคราะห์สภาพนิเวศน์วิทยาในนาข้าวและมีการตัดสินใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีผลให้การผลิตประสบผลสำเร็จ ต้นทุนการผลิตลดลง ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเนื่องจากสารเคมี เกษตรกรสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง และประกอบการเกษตรกรรมที่ยั่งยืนในที่สุด การฝึกวินิจฉัยสิ่งมีชีวิตในนาข้าว เกษตรกรฝึกวินิจฉัยสิ่งมีชีวิตในนาข้าว โดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำ หลังจากสำรวจแปลงนาเกษตรกรสามารถวิเคราะห์สภาพนิเวศน์วิทยาในนาข้าว เครดิต:http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/agricultural_knowledge/rice_and_grains/15.html

ชนิดของสมุนไพรที่ใช้ในการป้องกันศัตรูพืช

บอระเพ็ด วิธีเตรียมและการใช้ นำเถาบอระเพ็ดสด 5 กก. หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วบดหรือโขลกให้ละเอียดผสมกับน้ำ 12 ลิตร ทิ้งไว้นาน 12 ชั่วโมง จากนั้นกรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง ๆ ก่อนน้ำไปใช้ให้ผสมสารจับใบ เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน หรือแชมพู ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ฉีดพ่นวันละ 1 ครั้ง เวลามีปัญหาศัตรูพืช หรือใช้บอระเบ็ดสดสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ หว่านทั่วแปลงข้าวครั้งแรกหลังจากหว่านข้าวได้ 7 วัน และอีกครั้งเมื่อข้าวอายุได้ 60 วัน ในอัตราบอระเพ็ด 10 กก./ไร่ ศัตรูเป้าหมาย ได้แก่ เพลี้ยกระโดด จักจั่นสีเขียว หนอนกอ หนอนกระทู้ สะเดา(สะเดาไทย,สะเดาอินเดีย,สะเดาช้าง) วิธีเตรียมและการใช้มีทั้งแบบใช้เมล็ดกับใช้ใบ กรณีใช้เมล็ด ให้นำเมล็ดสะเดาที่แห้งแล้ว 1 กก. มาบดหรือโขลกให้ละเอียด เอาผงเมล็ดที่ได้มาแช่น้ำ 20 ลิตร หรือ 1 ปิ๊บ ทิ้งไว้นาน 12-24 ชั่วโมง แล้วกรองเอาแต่น้ำด้วยผ่าขาวบาง ส่วนกากสามารถใช้ทำปุ๋ยได้ ก่อนนำไปใช้ให้ผสม การจับใบ เช่น ผงชักฟอก,น้ำยาล้างจาน,หรือแชมพู ในอัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะน้ำ 20 ลิตร ใช้ฉีดน้ำพ่นทุก ๆ 6-10 วัน ในช่วงเวลาเย็น กรณีใช้ใบ ต้องใช้ใบสะเดาสด (ใบสดจะมีสีเขียวเข้ม) ไม่น้อยกว่า 2 กก. นอกนั้นใช้วิธีการทำและวิธีใช้เช่นเดียวกันเมล็ด ศัตรูเป้าหมาย ได้แก่ ด้วงหมัดผัก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยกระโดดหลังขาว ผีเสื้อม้วนหวาน หนอนกอสีครีม หนอนกอข้าว หนอนกระทู้ หนอนม้วนใบข้าว หนอนชอนใบส้ม หนอนกระทู้กัดต้น หนอนกระทู้ควายพระอินทร์ หนอนใยกะหล่ำ ด้วงเต่าฟักทอง หนอนใยผักตักแตน ไส้เดือนฝอย และแมลงในโรงเก็บ กระเทียม วิธีการเตรียมและการใช้ กรณีใช้สำหรับฉีดพ่น ทำได้โดยใช้กระเทียม 1 กำมือใหญ่บดหรือโขลกให้ละเอียด เติมน้ำร้อนครึ่งลิตร ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วกรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง ๆ ผสมน้ำลงไปอีก 4 ลิตร ก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบในอัตราส่วนครึ่งช้อนโต๊ะ ใช้ฉีดพ่น 2 ครั้ง กรณีทำเป็นผงใช้โรย ให้ใช้กระเทียมแกะกลีบ 1 กำมือพูนๆ บดหรือโขลกละเอียดให้เป็นผง นำผงที่ได้ไปใช้กำจัดศัตรูพืช โดยใช้โรยบนพืชผักที่มีปัญหา โรยในเวลาที่พืชผักไม่เปียก ศัตรูเป้าหมาย ได้แก่ ด้วงปีกแข็ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไส้เดือนฝอย แมลงหวี่ขาว โรคราน้ำค้าง และโรคราสนิม พริก,พริกไทย วิธีเตรียมและการใช้ ให้บดพริกหรือพริกไทย 100 กรัม จากนั้นพริกหรือพริกไทยที่บดแล้วผสมน้ำ 1 ลิตรทิ้งไว้ 20 ชั่วโมง กรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง ให้เติมน้ำลงไปอีก 1 ลิตร ก่อนให้ผสม สารจับใบ เช่น ผงชักฟอก น้ำยาล้างจาน 1 หยด นำไปฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน ศัตรูเป้าหมาย ได้แก่ มด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ หนอนผีเสื้อ ด้วงปีกแข็ง หนอนกะหล่ำปลี ด้วงใน ข้าว และไวรัสบางชนิด ยาสูบ วิธีเตรียมและการใช้ ให้นำก้านและใบยาสูบ 1 กก. บดหรือโขลกให้ละเอียด แช่ก้านและใบยาสูบที่ตำละเอียดในน้ำ 5 ลิตร นาน 1 วัน จากนั้นเติมผงสบู่ 1 กำมือ แล้วกรองเอาไปใช้ ใช้ฉีดพ่นในแปลงพืชผัก ศัตรูเป้าหมาย ได้แก่ เพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ ด้วงมัดกระโดด หนอนชอนใบ และเพลี้ยไฟ มะรุม (มะค้อนก้อม) วิธีเตรียมและการใช้ นำใบของมะรุมมาคลุกเคล้าในดินที่เตรียมไว้ก่อนจะปลูกพืช หลังจากนั้นทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้สารที่อยู่ในใบของมะรุมออกฤทธิ์เมื่อใบเน่าเปื่อย จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี ผกากรอง เป็นไม้กิ่งพุ่มสูง 1-2 เมตร มีกลิ่นรุนแรง ใบออกตรงกันข้าม กลีบดอกย่อยสีชมพู แดง เหลือง ขาวและส้มติดกันเป็นหลอด กลีบเลี้ยงมีสีเขียว ลกลม เมื่อลูกมีสีดำภายในมี 2 เมล็ด ออกดอกตลอดปี กากรองนั้นมีสาร lantadene A ซึ่งมีพิษต่อระบบประสาทของแมลง วิธีสกัด ใช้ดอกและใบ 50 กรัมบดกับน้ำกลั่น 400 ซีซี หรือใช้เมล็ดบดละเอียดอัตรา 1 ต่อ 2 ส่วนแช่ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงแล้วกรองแต่น้ำไปฉีดแมลง ศัตรูเป้าหมาย กำจัดหนอนห่อใบข้าววัยที่ 2 หนอนกระทู้ผัก หางไหลหรือโล่ติ๊น เป็นไม้เลื้อยชนิดแข็งลักษณะเป็นเถา ใบออกเป็นช่อ มีใบย่อย 7 ใบ ลักษณะรูปไข่ค่อนข้างยาวโคนใบเล็กเรียวขึ้นไปและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ดอกเป็นช่อขนาดเล็กสีแดงอ่อนรูปร่างเหมือนดอกถั่ว รากอยู่ใต้ดิน ผลมีลักษณะเป็นฝักแบน เมล็ดภายในฝักกลมและแบนเล็กน้อย สีน้ำตาลปนแดง หางไหลมีสารที่ทำให้แมลงหายใจได้น้อยลง ทำให้ขาดออกซิเจน และตายในที่สุด วิธีการเตรียมและการใช้ บดหางไหลประมาณ 1 กก. ต่อน้ำ 20 ลิตร ทิ้งไว้ 1-2 วัน นำมากรองใช้ ฉีดพ่นกำจัดแมลง หรือแช่รากกล้าข้าว 18 ชั่วโมง ก่อนปักดำ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของตัวอ่อน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และเพลี้ยจักจั่นสีเขียวได้ ศัตรูเป้าหมาย ใช้กำจัดหนอนห่อใบข้าว หนอนกระทู้ผัก หนอนใยผัก เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น แต่มีข้อควรระวังคือ หางไหลหรือโล่ติ๊กเป็นพิษกับปลา ไม่ควรให้กับพืชที่ปลูกยกร่องหรือพืชที่ปลูก ใกล้แหล่งน้ำ สลอด (สบู่ดำ) เป็นไม้พุ่ม ใบและช่อดอกคล้ายกับใบฝ้ายแต่หนากว่า ใบหยักคล้ายใบละหุ่งแต่หยักตื้นมี 4 แฉก ดอกมีขนาดเล็ก ผลเกลี้ยงเกลารูปทรง 6 เหลี่ยมคล้ายลูกจันทร์ เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 3 รอย ภายในผลมี 3 เมล็ด ๆ มีรูปร่างสามเหลี่ยมมุมบนมีสีน้ำตาล วิธีการเตรียมและการใช้ นำลูกสลอดมาบดละเอียด 1 กก. แช่น้ำ 1 ปี๊บ ทิ้งไว้ 3 วัน กรองเอาแต่น้ำไปใช้ฉีดพ่นในแปลงผัก หนอนตายหยาก เป็นไม้เถา เถากลมเล็กเรียวสีเขียว พาดพันต้นไม้อื่น ใบรูปหัวใจ ผิวและขอบเรียบสีเขียวเข้มมีหัวเป็นแท่งกลมยาว ขนาดนิ้วมือกระจุก ดอกตูมเป็นรูปเหมือนเงินรางสีเขียวอมเหลือง บานออกเป็นสีแดงเข้มหรือขาว ฝักเล็กปลายแหลม ยาว 2 ซม. ขึ้นตามป่าดงดิบทั่วไป วิธีการเตรียมและการใช้ ใช้รากประมาณ 1 กก. มาตำและแช่น้ำ 20 ลิตร นาน 1 – 2 วัน กรองเอาแต่น้ำมาใช้ฉีดพ่นแมลง ก่อนใช้ให้ผสมสารจับใบ เช่น น้ำยาล้างจาน แชมพู ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ฉีดพ่นแมลง 1 – 2 ครั้ง ศัตรูเป้าหมาย หนอนกระทู้ หนอนใยผัก และหนอนคึบ ตะไคร้หอม เป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นเป็นกอใหญ่ ๆ เหมือนตะไคร้บ้าน แต่ลำตนเป็นข้อและปล้องสีม่วงแดง ใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน ออกดอกในช่วงฤดูหนาวเป็นช่อยาวใหญ่ โน้มอ่อนลง สีน้ำตาลแดงคล้ำ ใบและต้นมีกลิ่นหอมฉุนจัด ใบชุ่มไปด้วยน้ำมันเมื่อถูกไฟจะลุกได้ง่ายที่สุด ขยายพันธุ์แบบแยกหน่อ วิธีการเตรียมและการใช้ ใช้ใบสดผสมกับข่า ใบสะเดาสด ตำให้ละเอียด อัตรา 1:1:1 แช่น้ำ 1 ปี๊บ หมักทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองเอาแต่น้ำไปใช้ อัตราส่วน 10 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดกำจัดแมลงในแปลงผัก ใช้ใบสดและแห้งของคะไคร้ที่แก่จัด รองพื้นยุ้งฉาง เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชทำลายผลลิตในโรงเก็บ ศัตรูเป้าหมาย หนอนใยผัก หนอนกระทู้ผัก แมลงในยุ้งฉาง สาบเสือ (ต้นเสือหมอบ,หญ้าดอกขาว,หญ้าลืมเมือง,หญ้าเมืองร้าง,หญ้าเหม็น) เป็นไม้ที่แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มสูง 1-2 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านจะมีขนนุ่มประปราย ใบมีลักษณะเป็นรูปหอก ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย มีขนปกคลุมทั้งใบ ดอกเป็นช่อ อยู่ตรงส่วนปลายกิ่ง มีสีม่วงหรือเงินอมม่วงอ่อน ผลมีขนาดเล็ก มีสีดำ เป็นเหลี่ยม 5 เหลี่ยม วิธีเตรียมและการใช้ เอาต้นและใบสาบเสือแห้งประมาณ 1 กก. แช่น้ำ 1 ปิ๊บ (20 ลิตร) ทิ้งไว้ 1-2 คืน แล้วกรองเอาแต่น้ำมาใช้ ถ้าให้ดีควรผสมสารจับใบเข้าไปด้วยจะทำให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ศัตรูเป้าหมาย หนอนใยผัก , หนอนกระทู้ผัก, เพลี้ยอ่อน ว่านน้ำ เป็นไม้ล้มลุก สูง 1-2 เมตร พบตามริมหนองน้ำหรือที่ชื้นแฉะ (บางคนชอบปลูกเป็นไม้ประดับ) โดยมีเหง้าอยู่ใต้ดินลักษณะเป็นรูปกระบอกยาวประมาณ 5-20 ซม. เจริญไปตามยาวขนานกับผิวดินไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ว่านน้ำจะมีน้ำมันหอมระเหยที่เป็นพิษต่อระบบประสาทของแมลง ส่วนที่มีสารออกฤทธิ์คือเหง้า มีฤทธิ์เป็นสารฆ่าแมลง ขับไล่แมลง ทำให้แมลงหยุดชะงักการกินและยับยั้งการสืบพันธุ์ของแมลง วิธีเตรียมและการใช้ ให้นำเหง้าว่านน้ำ 30 กรัม มาบดหรือโขลกให้ละเอียดผสมน้ำ 4 ลิตร ทิ้งไว้ 20 ซม. หรือจะต้มนาน 45 นาทีก็ได้จากนั้นกรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง ก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบ ใช้ฉีดพ่น 2 ครั้ง เวลาที่ปัญหาหรือใช้เหง้าบดเป็นคลุกเคล้ากับเมล็ดพันธุ์พืชที่แห้ง ในอัตราส่วนว่านน้ำ 1 กก. ต่อเมล็ดพันธุ์ข้าว 50 กก. เพื่อป้องกันแมลงศัตรูในโรงเก็บ ศัตรูเป้าหมาย แมลงวันแตง, แมลงวันทอง, ด้วงหมัดผัก , หนอนกระทู่ผัก , แมลงในโรงเก็บ, ด้วงงวงข้าว, ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว, มอดตัวป้อม, มอดข้าวเปลือกและแมลงกัดกินผัก ยี่โถ เป็นไม้พุ่มสูง 2-3 เมตร แตกสาขามากมาย ลำต้นเกลี้ยงเปลือกสีเทา มีน้ำยางสีขาว ดอกมีสีขาว แดงชมพูแก่ เหลืองอ่อน ใบมีฤทธิ์ต่อหัวใจอาจทำให้ตายได้ วิธีเตรียมและการใช้ นำดอกและใบจำนวน 1 กก. มาบดหรือโขลกให้ละเอียด นำมาแช่น้ำ ½ ปิ๊บ ทิ้งไว้ 2 วัน กรองเอาแต่น้ำไปใช้และก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบ เช่น ผงซักผ้า , น้ำยาล้างจาน, แชมพู, ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ฉีดพ่น 2 ครั้ง (วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน ) เวลาทีปัญหาศัตรูพืช ศัตรูเป้าหมาย หนอนหลายชนิดในแปลงผัก ดอกดาวเรือง (ดอกคำปู้จู้) เป็นพืชล้มลุก อายุ 1 ปี ใบประกอบแบบขนนก ดอกเป็นกระจุกสีส้มเหลือง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปลูกเป็นไม้ประดับ วิธีเตรียมและการใช้ นำดอกดาวเรือง จำนวน 500 กรัม ต้มใน น้ำ 4 ลิตร ทิ้งไว้ให้เย็น กรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบางผสมน้ำลงไปอีก 4 ลิตร ก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบ เช่น ผงซักผ้า, น้ำยาล้างจาน, แชมพู, ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ฉีดพ่น 2 ครั้ง (วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 2 วัน) ศัตรูเป้าหมาย เพลี้ยกระโดด, เพลี้ยจักจั่น , เพลี้ยหอย. เพลี้ยอ่อน, เพลี้ยไฟ, แมลงหวี่ขาว ฯลฯ น้อยหน่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบเดี่ยวรูปไข่ ออกดอกตามง่ามใบ ผลร่วมทรงกลม เปลือกเป็นตา ๆ มีร่องลึกตามแนวเนื้อหุ้มเมล็ดภายในผล เมล็ดรูปกระสวยสีน้ำตาลไหม้ ปลูกเป็นอาหารขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด วิธีการเตรียมและการใช้ นำเมล็ดประมาณ 1 กก. บดละเอียด นำไปผสมน้ำ 1 ปิ๊ป (20 ลิตร) แช่ทิ้งไว้ 1-2 วัน กรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง และก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบ เช่น ผงซักผ้า, น้ำยาล้างจาน, แชมพู, ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ศัตรูเป้าหมาย เพลี้ยอ่อนในแปลงผัก มะเขือเทศ (มะเขือส้ม) วิธีเตรียมและการใช้ ให้ใช้ใบสดมะเขือเทศ 3 กรัม บดหรือโขลกให้ละเอียด ผสมน้ำ 5 ลิตร หรือใช้ใบสด มือพูน ๆ บดโขลกให้ละเอียดผสมน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 2 ลิตร ผสมน้ำทิ้งไว้ 5 ชม. กรองด้วยผ้าขาวบาง ก่อนนำไปใช้ให้ผสมกับสารจับใบเช่น ผงซักผ้า, น้ำยาล้างจาน, แชมพู ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ฉีดพ่นทุก ๆ 2 วัน (วันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 2 วัน) ศัตรูเป้าหมาย ด้วงหมัดผัก, ด้วงหน่อไม้ฝรั่ง, แมลงวันทั่วไป, หนอนเจาะลำต้นลายจุด, ไรแดง, หนอนผีเสื้อ,หนอนใยผัก, ไส้เดือนฝอย ขมิ้นชัน วิธีการเตรียมและการใช้ ใช้หัวขมิ้นแก่สด 1 กก. ทุบพอแหลก แช่น้ำ 20 ลิตร นาน 1-2 วัน กรองด้วยผ้าขาวบางก่อนนำไปใช้ให้ผสมสารจับใบ เช่น ผงซักผ้า, น้ำยาล้างจาน, แชมพู, ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าใช้สมกับหัวว่านน้ำอย่างละ ½ กก. จะช่วยเสริมฤทธิ์กัน หรือใช้ล่อแมลงวันทอง ศัตรูเป้าหมาย หนอนกระทู้ผัก เครดิต: http://www.baanjomyut.com/library_2/water_extraction_of_biological/03.html

การใช้สารสกัดธรรมชาติจากพืช

สมุนไพรเพื่อการป้องกันกำจัดแมลง ปัจจุบันเกษตรกรมีการใช้สารเคมีอย่างมากมายทำให้ต้องสูญเสียเงินทอง ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความสมดุลยทางธรรมชาติ กระทบไปถึงความปลอดภัยในชีวิตของเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค การใช้สมุนไพรจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดต้นทุนและทำใช้เองได้ ข้อดีของการใช้สมุนไพรในการป้องกันกำจัดแมลง ปลอดภัยพืชสมุนไพรส่วนมากมีฤทธิ์อ่อนไม่เป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างเนื่องจากสลายตัวได้ง่าย โอกาสที่แมลงสร้างความต้านทานน้อยกว่าสารเคมี ออกฤทธิ์กับแมลงในหลายด้านเป็นพิษน้อยต่อศัตรูธรรมชาติ ประหยัด ราคาถูก เนื่องจากสมุนไพรเหล่านี้หาได้ง่ายและสามารถเตรียมได้เอง ทำให้ลดดุลการค้าที่เสียเปรียบต่างประเทศ เป็นพืชเศรษฐกิจ ควรส่งเสริมการปลูกสมุนไพรไว้เพื่อใช้ภายในประเทศและเพื่อการส่งออกอย่างจริงจัง ในรูปสารสกัดจะทำให้ได้ราคาดี สารสกัดจากสมุนไพรมีผลต่อแมลง เป็นสารไล่แมลง ทำให้แมลงกินอาหารน้อยลง ทำให้แมลงเป็นหมัน ยับยั้งการเจริญเติบโตของหนอน ลดการวางไข่ การฟักไข่ของแมลง เป็นพิษโดยตรงต่อแมลง สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช สมุนไพรที่รสขมฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันแมลง ได้แก่ ฟ้าทลายโจร,บอระเพ็ด, สะเดา,หญ้าใต้ใบ,โทรเทง สมุนไพรที่มีรสฟาดแก้เชื้อราโรคพืช ได้แก่ เปลือกแค,เปลือกมังคุด,เปลือกสีเลือด, ใบฝรั่ง,ใบทับทิม,ขมิ้น สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวไล่แมลงแสบร้อน ได้แก่ เปลือกส้ม มะกรูด มะนาว น้ำส้มสายชู น้ำมะขาม สมุนไพรประเภทเมา เบื่อฆ่าหนอน เพลี้ย แมลงอื่น ๆ ได้แก่ หางไหล ยาสูบ ขอบชะนาง แดง-ขาว หนอนตายหยาก ใบน้อยหน่า สลัดใด พญาไร้ใบ แสก เม็ดมะกล่ำ สมุนไพรหอมระเหยไล่แมลง เปลี่ยนกลิ่นต้นพืช ได้แก่ ตะไคร้หอม โหระพา กระเพรา ผักชี สาบเสือ สาบแร้งสาบกา กระทกรก ผักแพรวแดง

น้ำสกัดชีวภาพเพื่อป้องกันและจำกัดศัตรูพืช

น้ำสกัดชีวภาพอย่างเดียวไม่ใช่ยาปราบศัตรูพืช แต่จะให้ความต้านทานแก่พืชเพื่อสู้กับศัตรูพืช โรคและแมลงไม่มารบกวน ถ้าได้ให้อย่างสม่ำเสมอ น้ำสกัดชีวภาพที่ได้จากการหมักผลไม้สมสมุนไพรจะช่วยให้การป้องกันการกำจัดศัตรูพืชได้ยิ่งดียิ่งขึ้น วิธีทำ วิธีทำน้ำสกัดชีวภาพเพื่อป้องกันและรักษาศัตรูพืช ก็เช่นเดียวกับการทำน้ำสกัดชีวภาพที่ได้กล่าวมาแล้ว เพียงแต่ใช้ผลไม้หมักทั้งหมด ผลไม้ใช้ได้ทั้งดิบและสุก หรือเปลือกผลไม้ ถ้าเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ทางยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงหิมพานต์จะยิ่งดี สมุนไพรที่ต้องการใช้ร่วมกับน้ำสกัดชีวภาพ ได้แก่ ใบสะเดา ตะไคร้หอม ฟ้าทะลายโจร กระเทียม พริกขี้หนู ว่านหางจระเข้ ขิง ข่า และยาสูบ เป็นต้น นำมาทุบหรือตำให้แตก ใส่น้ำให้ท่วม หมักไว้ 1 คืน เพื่อสกัดเอาน้ำสมุนไพร นำไปกรองเอาแต่น้ำ วิธีใช้ ผสมน้ำสกัดชีวภาพกับน้ำสมุนไพรและน้ำในอัตราน้ำสกัด 1 ส่วน น้ำสมุนไพร 1 ส่วน และน้ำ 200-500 ส่วน ฉีดพ่นต้นพืชให้เปียกทั่ว ควรเริ่มใช้หลังต้นพืชเริ่มงอม ก่อนที่โรคและแมลงจะมารบกวน ควรให้ในตอนเช้าหรือหลังฝนตกและให้อย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ในพืช ผสมน้ำสกัดชีวภาพ กับน้ำในอัตรา 1 ส่วนต่อน้ำ 500-1,000 ส่วน รดต้นไม้หรือฉีด พ่นบนใบ เริ่มฉีดพ่นเมื่อพืชเริ่มงอกก่อนที่โรคและแมลงจะรบกวน และควรทำในตอนเช้าหรือ หลังฝนตกหนัก ควรให้อย่างสม่ำเสมอ และในดินต้องมีอินทรียวัตถุอย่างเพียงพอ เช่น ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก หญ้าแห้ง ใบไม้แห้งและฟาง เป็นต้น ใช้ได้กับพืชทุกชนิด รายละเอียดโปรดดูในบดต่อไป น้ำสกัดชีวภาพเจือจางใช้แช่เมล็ดพืชก่อนนำไปเพาะ จะช่วยให้เมล็ดงอกเร็ว ขึ้น และจะ ได้ต้นกล้าที่แข็งกล้าที่แข้งแรงและสมบูรณ์ ประโยชน์ ในน้ำสกัดชีวภาพ ประกอบด้วยสารอินทรีต่าง ๆ หลากหลายชนิด เช่น เอนไซม์ฮอร์โมน และธาตุอาหารต่าง ๆ เอนไซม์บางชนิดจะทำหน้าที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เป็นสารอินทรีย์ เป็นอาหารของจุลินทรีย์เอง และเป็นอาหารของต้นพืช ฮอร์โมนหลายชนิดที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นก็เป็นประโยชน์ต่อพืชถ้าให้น้ำปริมาณเล็กน้อยแต่จะมีโทษถ้าให้ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป ฉะนั้นในการใช้น้ำสกัดชีวภาพในพืช จำเป็นต้องให้ในอัตราเจือจางสารอินทรีย์บางชนิดที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นเป็นสารที่เพิ่มความต้านทานให้แก่พืช ทำให้พืชมีความต้านทานต่อโรคแมลง และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน การใช้สารสกัดธรรมชาติจากพืช สมุนไพรเพื่อการป้องกันกำจัดแมลง ปัจจุบันเกษตรกรมีการใช้สารเคมีอย่างมากมายทำให้ต้องสูญเสียเงินทอง ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ความสมดุลยทางธรรมชาติ กระทบไปถึงความปลอดภัยในชีวิตของเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค การใช้สมุนไพรจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดต้นทุนและทำใช้เองได้ ข้อดีของการใช้สมุนไพรในการป้องกันกำจัดแมลง ปลอดภัยพืชสมุนไพรส่วนมากมีฤทธิ์อ่อนไม่เป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างเนื่องจากสลายตัวได้ง่าย โอกาสที่แมลงสร้างความต้านทานน้อยกว่าสารเคมี ออกฤทธิ์กับแมลงในหลายด้านเป็นพิษน้อยต่อศัตรูธรรมชาติ ประหยัด ราคาถูก เนื่องจากสมุนไพรเหล่านี้หาได้ง่ายและสามารถเตรียมได้เอง ทำให้ลดดุลการค้าที่เสียเปรียบต่างประเทศ เป็นพืชเศรษฐกิจ ควรส่งเสริมการปลูกสมุนไพรไว้เพื่อใช้ภายในประเทศและเพื่อการส่งออกอย่างจริงจัง ในรูปสารสกัดจะทำให้ได้ราคาดี สารสกัดจากสมุนไพรมีผลต่อแมลง เป็นสารไล่แมลง ทำให้แมลงกินอาหารน้อยลง ทำให้แมลงเป็นหมัน ยับยั้งการเจริญเติบโตของหนอน ลดการวางไข่ การฟักไข่ของแมลง เป็นพิษโดยตรงต่อแมลง สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช สมุนไพรที่รสขมฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันแมลง ได้แก่ ฟ้าทลายโจร,บอระเพ็ด, สะเดา,หญ้าใต้ใบ,โทรเทง สมุนไพรที่มีรสฟาดแก้เชื้อราโรคพืช ได้แก่ เปลือกแค,เปลือกมังคุด,เปลือกสีเลือด, ใบฝรั่ง,ใบทับทิม,ขมิ้น สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวไล่แมลงแสบร้อน ได้แก่ เปลือกส้ม มะกรูด มะนาว น้ำส้มสายชู น้ำมะขาม สมุนไพรประเภทเมา เบื่อฆ่าหนอน เพลี้ย แมลงอื่น ๆ ได้แก่ หางไหล ยาสูบ ขอบชะนาง แดง-ขาว หนอนตายหยาก ใบน้อยหน่า สลัดใด พญาไร้ใบ แสก เม็ดมะกล่ำ สมุนไพรหอมระเหยไล่แมลง เปลี่ยนกลิ่นต้นพืช ได้แก่ ตะไคร้หอม โหระพา กระเพรา ผักชี สาบเสือ สาบแร้งสาบกา กระทกรก ผักแพรวแดง ชนิดของสมุนไพรที่ใช้ในการป้องกันศัตรูพืช เครดิต:http://www.baanjomyut.com/library_2/water_extraction_of_biological/01.html

น้ำสกัดชีวภาพ

น้ำสกัดชีวภาพ
น้ำสกัดชีวภาพ คือ น้ำที่ได้จากการหมักดองพืชอวบน้ำ เช่น ผัก ผลไม้ ด้วยน้ำตาลในสภาพไร้อากาศ น้ำที่ได้จะประกอบด้วยจุลินทรีย์และสารอินทรีย์หลากหลายชนิดจุลินทรีย์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกยีสท์ แบคทีเรียสร้างกรดเลกติกและพวกรา แบคทีเรียสังเคราะห์แสงก็เคยพบในน้ำสกัดชีวภาพ

วัสดุและอุปกรณ์ ถังหมักที่มีฝาปิดสนิท จะเป็นถังพลาสติก ถังโลหะ หรือกระเบื้องเคลือบ หรือจะใช้ถุงพลาสติกก็ได้ น้ำตาล สามารถใช้น้ำตาลได้ทุกชนิด ถ้าได้กากน้ำตาลยิ่งดี เพราะมีราคาถูกและมีธาตุอาหารอื่น ๆ ของจุลินทรีย์ นอกจากน้ำตาลอยู่ด้วย พืชอวบน้ำทุกชนิด เช่น ผัก ผลไม้ ทั้งแก่และอ่อน รวมทั้งเปลือกผลไม้อวบน้ำ ที่สดไม่เนาเปื่อย เช่น เปลือกแตงโม เปลือกสับปะรด เปลือกขนุน และเปลือกมะม่วง เป็นต้น ของหนัก เช่น อิฐบล็อก หรือก้อนหิน

วิธีทำ นำพืช ผัก ผลไม้ ลงผสมกับน้ำตาลในภาชนะที่เตรียมไว้ในอัตราน้ำตาล 1 ส่วนต่อพืช ผัก ผลไม้ 3 ส่วน คลุกให้เข้ากัน หรือถ้ามีปริมาณมากจะโรยทับสลับกันเป็นชั้น ๆ ก็ได้ ใช้ของหนักวางทับบนพืชผักที่หมัก เพื่อกดไล่อากาศที่อยู่ระหว่างพืชผัก ของหนักที่ใช้ทับที่มีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักพืชผัก วางทับไว้ 1 คืน ก็เอาออกได้ ปิดฝาภาชนะที่หมักให้สนิท ถ้าเป็นถุงพลาสติกก็มัดปากถุงพลาสติกให้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้าไปได้ เป็นการสร้างสภาพที่เหมาะสมให้แก่จุลินทรีย์หมักดองลงไปทำงานหมักทิ้งไว้ 3-5 วัน จะเริ่มมีของเหลวสีน้ำตาลอ่อนถึงแก่เกิดขึ้น จาการละลายตัวของน้ำตาลและน้ำเลี้ยงจากเซลล์ของพืชผัก น้ำตาลและน้ำเลี้ยงเป็นอาหารของจุลินทรีย์จุลินทรีย์หมักดองก็จะเพิ่มปริมาณมากมาย พร้อมกับผลิตสารอินทรีย์หลากหลายชนิดดังกล่าวข้างต้นของเหลวที่เรียกว่า “น้ำสกัดชีวภาพ” เมื่อมีน้ำสกัดชีวภาพออกบรรจุลงในภาชนะพลาสติกอย่ารีบถ่ายน้ำสกัดชีวภาพออกเร็วเกินไป เพราะเราต้องการให้มีปริมาณจุลินทรีย์มาก ๆ เพื่องเร่งกระบวนการหมัก น้ำสกัดชีวิภาพที่ถ่ายออกมาใหม่ ๆ กระบวนการหมักยังไม่สมบูรณ์จะมีก๊าซคาร์บอนไซด์เกิดขึ้นต้องคอยเปิดฝาภาชนะบรรจุทุกวันจนกว่าจะหมดก๊าซปริมาณของน้ำสกัดชีวภาพที่ได้จากการหมักจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของพืช ผักผลไม้ ที่ใช้หมัก ซึ่งมีน้ำอยู่ 95-98% สีของน้ำสกัดชีวภาพก็ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำตาลที่ใช้หมัก ถ้าเป็นน้ำตาลฟอกขาวก็จะมีสีอ่อน ถ้าเป็นกากน้ำตาลน้ำสกัดชีวภาพจะเป็นสีน้ำตาลแก่ ควรเก็บถังหมักและน้ำสกัดชีวภาพไว้ในที่ร่ม อย่าให้ถูกฝนและแสงแดดจัด ๆ น้ำสกัดชีวภาพที่ผ่านการหมักสมบูรณ์แล้ว ถ้าปิดฝาสนิทสามารถไว้ได้หลาย ๆ เดือน กากที่เหลือจากการหมัก สามารถนำไปฝังเป็นปุ๋ยบริเวณทรงพุ่มของต้นไม้ได้หรือจะคลุกกับดินหมักเอาไว้ใช้เป็นดินปลูกต้นไม้ก็ได้

หมายเหตุ ในกรณีที่มีการหมักต่อเนื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องเอากากออก สามารถใส่พืชผักลงไปเรื่อย ๆ ก็ได้ หรือในกรณีที่หมักยังไม่เต็มถัง ก็สามารถเติมจนเต็มถังก็ได้ทุกครั้งหลังจากปิด ถ้าต้องปิดฝาหรือมัดถุงให้แน่นเหมือนเดิมเพื่อป้องกันอากาศเข้า เพราะถ้าอากาศเข้า เครดิต:http://www.baanjomyut.com/library_2/water_extraction_of_biological/index.html

เหวลึกในหัวใจ

ไม่มีใครที่จะสามารถปฏิเสธได้ว่าเกิดมาแล้วต้องการจะพบแต่สิ่งที่ดีดี สิ่งที่มีแต่ความสุข แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ใช่โลกแห่งจินตนาการแล้วนั้น ไม่มีเลยไม่มีใครที่จะพบแต่สิ่งดีดีเหล่านั้นที่พวกเขาใฝ่หา โดยที่ไม่ต้องประสบกับสิ่งที่เลวร้าย และสิ่งที่จะบั่นทอนจิตใจของพวกเขาได้ แต่ในทางที่กลับกันสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นกลับที่จะมาประสบกับตัวเขามากกว่าสิ่งดีดีเสียอีกด้วยซ้ำ แต่เราเคยที่จะคิดกันบ้างไหมว่า สิ่งเลวร้ายเหล่านั้น ใครกันที่เป็นคนทำให้มันเลวร้ายมากขึ้น บั่นทอนจิตใจของเรามากขึ้น ถ้าไม่ใช่ตัวของเราเอง สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นก็เหมือนเหตุการณ์นึงที่เกิดขึ้นแล้วก็จะผ่านไปเหมือนกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต แต่แปลกตรงที่ว่าหัวใจของเรากลับซึมซับและจดจำสิ่งที่เลวร้ายได้ดีกว่าสิ่งดีดีที่ผ่านเข้ามา เราเคยยืนบนหน้าผาสูงแล้วดะโกนลงไปในหุบเหวที่ลึกลงไปบ้างไหม คุณรู้มั๊ยสิ่งที่เราจะพบหลังจากเราตะโกนออกไปจนสุดเสียงแล้วนั้น ก็คือเสียงสะท้อนที่จะกลับเข้ามาหาตัวเรา และเสียงที่กลับมานั้นจะก้องกังวาลมากกว่าเสียงที่เราตะโกนออกไป แต่นั่นเป็นแค่เสียง คุณลองคิดดูว่าในหัวใจของเราก็คือเหว และเมื่อคุณได้ไปยืนตรงเหวนั้นแล้วตอกย้ำสิ่งหนึ่งลงไป แต่ในคราวนี้มันไม่ใช่เสียงที่คุณจะตะโกนได้จนสุดเสียงอีกแล้ว แต่กลับเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด และก็เลวร้ายที่คุณได้เจอมา ก็นั่นแหล่ะเมื่อคุณปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้าไปในเหวหัวใจเหมือนกับเสียงที่คุณตะโกนบนหน้าผา สิ่งที่จะได้กลับมาก็คือความเจ็บที่จะสะท้อนกลับมาและก้องกังวาลยิ่งกว่าเดิม แล้วอย่างนี้เราจะตอกย้ำสิ่งเหล่านี้ลงไปในเหวหัวใจของเราทำไม ในทางกลับกันถ้าเราปล่อยความรู้สึกที่ดีดีลงไปในเหวของหัวใจบ้างล่ะ..... 

เครดิต:http://www.baanjomyut.com/

Translate